โฆษก ศบค. “นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” ตอบปมคนฆ่าตัวดับ ช่วงวิกฤตโควิด ชี้ ไม่หนักเท่า ช่วงต้มยำกุ้ง ย้ำ สธ.ไม่ละเลย ไม่ผิดจากความคาดหมาย
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ส่งผลต่อประชาชนด้านสุขภาพจิต ทำให้เกิดพฤติกรรมการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นผลกระทบด้านจิตใจที่มากกว่าด้านเศรษฐกิจ และโรคระบาด
วันนี้ (30 เม.ย.) ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล โควิด-19 ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงความคืบหน้าสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นำข้อมูลมาหารือกันในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน(EOC) หลายครั้ง และศึกษาเทียบเคียงกับกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจากข่าวต่างๆ ดูถึงบทความทางวิชาการ ทางกรมสุขภาพจิตได้นำรายงานในปี 2563 ที่เป็นสถานการณ์วิกฤตทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเองมาวิเคราะห์
โดยต้องยอมรับว่าสิ่งที่ได้รับผลกระทบกลับมา นอกจากการป่วยทางกายแล้วคือการป่วยทางจิต เป็นผลกระทบที่ชัดเจน แต่ไม่ได้มีเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่เผชิญกับเรื่องนี้
ในการพยากรณ์เรื่องนี้ก็เหมือนกับการพยากรณ์ด้านการติดโรค ต้องพบตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายมากขึ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ได้ผิดไปจากการคาดหมาย
“การเผชิญความเป็นจริง ทางกระทรวงสาธารณสุขต้องทำเช่นเดียวกันกับการควบคุมโรคติดต่อ ต้องเข้าไปศึกษาและหาทางในการลดจำนวนการสูญเสียในเรื่องของการฆ่าตัวตาย ซึ่งในหลักการของการดูแลปัญหาการฆ่าตัวตาย เรื่องที่ป้องกันได้เนื่องจากมีสัญญาณก่อนการฆ่าตัวตาย
สัญญาณการของการเจ็บป่วยทางจิต กระบวนการที่สาธารณสุขจะต้องเข้าไปดู รวมไปถึงภาคเศรษฐกิจต่างๆ จะต้องมีการแก้ไขปัญหาที่ตรงเหตุ จะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ในหลายประเทศจะต้องมีมาตรการระดับประเทศ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ระดับกระทรวงเท่านั้น” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมาตรการส่วนบุคคล หากขนาดนี้ประชาชนคนไทยที่กำลังมีความคิดเรื่องของผลกระทบเหล่านี้ รวมไปถึงความคิดของการฆ่าตัวตาย
มีลักษณะสัญญาณของการแสดงออก ให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และร้องขอความช่วยเหลือมายังกรมสุขภาพจิตที่มีสายด่วน เบอร์ 1323 สามารถใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง